บี๋-อริยะ พนมยงค์ กรรมการผู้อำนวยการ บีอีซี เวิลด์ (กลุ่มช่อง 3) ได้โอกาสพบกับพนักงานกลุ่มช่อง 3 เป็นครั้งแรกในงาน Townhall meeting กับพนักงานกลุ่มช่อง 3 จำนวนหลายร้อยคน ที่ห้องประชุมชั้น 8 ตึกมาลีนนท์ เมื่อบ่ายวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา นับเป็นครั้งแรกที่ผู้บริหารมืออาชีพ “คนนอก”ตระกูล “มาลีนนท์” ที่มา Townhall กับพนักงานกลุ่มช่อง 3
บี๋-อริยะ เป็นผู้บริหารมีอาชีพที่มาจากบริษัท ไลน์ ประเทศไทย ในธุรกิจออนไลน์ แต่เข้ามาบริหารธุรกิจทีวี เข้ามารับตำแหน่งที่บีอีซี เมื่อวันที่ 18 เม.ย.2562
คำถามที่โดนพนักงานถามเป็นส่วนใหญ่ มีตั้งแต่เรื่องการคืนช่อง และผลกระทบที่มีต่อพนักงาน จำนวนคนที่จะต้องออกจากงาน ซึ่งส่วนนี้ยังไม่ให้คำตอบ เนื่องจากอยู่ระหว่างการพิจารณา โดยที่ “บี๋-อริยะ”พยายามพูดแสดงความมั่นใจกับพนักงานทั้งหมด ถึงอนาคตของช่อง 3 ที่จะเติบโตไปด้วยธุรกิจคอนเทนต์ ที่ไปทั้งช่องทางทีวีและออนไลน์ควบคู่ไปด้วยกัน
โดยรวมระบุว่า แม้ว่าเขาจะมาจากธุรกิจออนไลน์ แต่ให้ความมั่นใจว่า จะไม่ทิ้งออฟไลน์ ที่เป็นธุรกิจหลักอย่างแน่นอน
บี๋-อริยะ ผู้บริหารมืออาชีพ “คนนอก” ที่เข้ามาบริหารกลุ่มช่อง 3 เต็มตัวเป็นคนที่ 2 ในยุคที่ “ประชุม มาลีนนท์” เป็นตัวแทนครอบครัวมาบริหารกลุ่มช่อง 3 โดยคนแรกคือ “สมประสงค์ บุญยะชัย” ที่มารับตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร หรือ G-CEO ในเดือนเม.ย.ปี 2560 แต่ทำได้ไม่ถึงปี หลังจากผลประกอบการบีอีซี เวิลด์ปี 2560 เริ่มขาดทุนเป็นครั้งแรกในไตรมาสที่ 4 และทำให้ภาพรวมทั้งปีมีกำไรเพียงแค่ 61 ล้านบาท โดยในเดือนก.พ.2561 “สมประสงค์” ก็ลาออกจากตำแหน่งมารับตำแหน่งบอร์ดบริษัทเพียงอย่างเดียวจนถึงทุกวันนี้
ในขณะที่ในภาคเช้า บี๋-อริยะ นำทีมผู้บริหารบีอีซี พบกับกลุ่มนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ซึ่งให้ความสนใจมาร่วมรับฟังมากเป็นพิเศษกว่าทุกๆครั้ง โดยผู้บริหารกลุ่มบีอีซีชี้แจงผลประกอบการของบีอีซี ในไตรมาสแรกของปีนี้ ที่พบว่ายังคงขาดทุนอยู่ที่ 128 ล้านบาท โดยขาดทุนเพิ่มขึ้น 1.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีที่แล้ว ที่ขาดทุนอยู่ที่ 126 ล้านบาท มีรายได้รวมในไตรมาสแรก 2,023.8 ล้านบาท ลดลง 14.8% โดยที่รายได้ 81.1% มาจากรายได้ค่าโฆษณา มีมูลค่า 1,718.5 ล้านบาท ลดลง 18.7%
รายได้จากช่องทางออนไลน์อยู่ที่ 68 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.3% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่มีรายได้อยู่ที่ 65.7ล้านบาท ส่วนรายได้จากการขายคอนเทนต์ไปต่างประเทศอยู่ที่ 29.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 22% ที่มีมูลค่า 22.8 ล้านบาท
ช่อง 3SD และช่อง 3Family รวม 2 ช่อง จะได้เงินชดเชยราวพันล้านบาท
บีอีซีชี้แจงนักวิเคราะห์ว่า การคืนช่องทั้งช่อง 3SD ช่อง 28 และช่อง 3 Family ช่อง 13 คาดว่าจะต้องใช้เวลาประมาณ 4-5 เดือนจึงจะคืนช่องได้ เนื่องจากต้องใช้เวลาภายใน 60 วันในการยื่นเอกสารถึงกสทช. รอกสทช.พิจารณาอนุมัติอีกภายใน 30 วัน และคาดว่าจะต้องใช้ระยะเวลาในการเยียวยาประชาชนก่อนจอดำภายใน 30-60 วัน จึงจะได้รับเงินชดเชยจากกสทช. ซึ่งอาจจะเป็นช่วงเดือนกันยายน
โดยที่ผ่านมาช่อง 3SD ได้จ่ายเงินค่าประมูลทั้ง 4 งวดไปทั้งหมด 1,517 ล้านบาท ส่วนช่อง 3Family จ่ายไป 455.6 ล้านบาท โดยมีค่าเช่าโครงข่าย MUX ปีละ 43.2 ล้านบาท และทั้ง 2 ช่องไม่มีกำไรจากการดำเนินการตั้งแต่เริ่มต้น
สำหรับทิศทางของกลุ่มช่อง 3 ต่อจากนี้ไป จะมุ่งเน้นไปที่ช่อง 3HD เพียงช่องเดียว เนื่องจากช่อง 3 แอนะล็อกจะหมดอายุสัมปทานในเดือนมี.ค.2563
อนาคตของกลุ่มบีอีซี ไม่ใช่ช่องทางทีวี หรือดิจิทัล แต่เป็นทั้งสองช่องทาง เพราะ 80-85% ของวีดีโอคอนเทนต์ออนไลน์ คือคอนเทนต์จากทีวีนั่นเอง
ทั้งนี้ มีข้อมูลของกลุ่มผู้ชมของช่อง 3 พบว่า 73%ของผู้ชมช่อง 3 ที่อายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไป เป็นกลุ่มหลักที่ยังดูทีวี ส่วน 71-80% ของผู้ชมช่อง 3 ที่อายุน้อยกว่า 34 ปี นิยมรับชมทางยูทูปและไลน์ แต่กลุ่มนี้ก็ยังต้องดูทีวี
ดังนั้น กลุ่มบีอีซีจะทำธุรกิจที่มากกว่าช่องทางทีวี โดยคิดถึงความต้องการรับชมคนอเทนต์ของผู้ชมในทุกช่องทางอื่นๆ และจะมีการหารายได้นอกเหนือจากการขายแอร์ไทม์
เป้าหมายของกลุ่มบีอีซี คือการเป็น ผู้นำด้านคอนเทนต์ในตลาดทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ ที่มีคอนเทนต์เป็นแกนกลาง มีองค์ประกอบทั้งเรื่อง นักแสดง ลิขสิทธิ์ เทคโนโลยี ช่องทางการออกอากาศ ที่รวมถึงกิจการทีวีเป็นส่วนสำคัญในการหารายได้เพิ่มเติม
ละครใหม่ –วาไรตี้ เตรียมลงผัง
นอกจากนี้ยังได้เปิดเผยถึง ละครและรายการวาไรตี้ใหม่ที่กำลังจะลงจอในชุดต่อไป ตั้งแต่ละคร “กลิ่นกาสะลอง” และ “ลับ ลวง ใจ” ส่วนรายการวาไรตี้ใหม่ ในช่วงเย็นวันเสาร์-อาทิตย์ มี 2 รายการ “ The Red Ribbon- ไฮโซเบอร์เยอะ” และ “เชฟสุดขั้ว ครัวสองโลก” และการกลับมาของรายการ Best Of All –เลขระทึกโลก” ในเย็นวันเสาร์ และรายการ “Hollywood Game Night Thailand ซีซัน 3” ที่ย้ายมาออกอากาศในวันอาทิตย์