หนึ่งในความพยายามสร้างรายได้เพิ่มเติมให้กับกลุ่มช่อง 3 ตามนโยบายของผู้บริหารใหม่ที่ต้องการสร้างปรากฏการณ์ใหม่ ทำในสิ่งที่ไม่เคยจะทำ โดยที่เพิ่งมีการประกาศกันไปไม่กี่วันก่อน ได้แก่ แผนการสร้างภาพยนตร์ โดยนำนักแสดงของช่องไปแสดงนำ เพื่อให้มีรายได้เข้าช่องด้วย แทนที่จะปล่อยให้นักแสดงไปแสดงภาพยนตร์โดยอิสระเหมือนที่ผ่านมา
ข้อมูลที่เพิ่มมีการเปิดเผยไม่นานนี้ ระบุว่า ช่อง 3 จะร่วมมือกับเวิร์คพอยท์ และเอ็ม พิกเจอร์ส ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายภาพยนตร์ ในการเปิดตัวภาพยนตร์เรื่องใหม่ “อีเรียมซิ่ง” ซึ่งประกาศแผนที่จะเปิดตัวในเดือนมี.ค. และลงโรงภาพยนตร์ในวันที่ 8 เม.ย.63 นี้
สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้นักแสดงหลักของช่อง “เบลล่า ราณี” มาเป็นนักแสดงหลัก โดยภาพแรกที่เปิดเผยมาเป็นภาพเบลล่า หันหลัง ขี่ควายบนท้องทุ่งนา โดยที่ยังไม่มีรายละเอียดเรื่องการลงทุนและส่วนแบ่งรายได้จากการลงทุนในโครงการนี้ บอกเพียงว่าเป็นไปตามสัดส่วนการลงทุน รวมถึงยังไม่ได้มีการชี้แจงสาเหตุที่จับมือร่วมกับเวิร์คพอยท์ ซึ่งเป็นหนึ่งผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล ที่เป็นคู่แข่งทางธุรกิจของช่อง 3 รายหนึ่ง
ธุรกิจภาพยนตร์ของไทย ตามข้อมูลของเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป เจ้าของธุรกิจโรงภาพยนตร์รายใหญ่ของประเทศระบุว่า ตลาดผู้ชมภาพยนตร์ส่วนใหญ่อยู่ในต่างจังหวัด ซึ่งปี 2562 คาดว่าจะเป็นปีแรกที่สัดส่วนรายได้จากการขายตั๋วหนังมาจากต่างจังหวัดเพิ่มจากประมาณ 30% มาอยู่ที่ 50% ทำให้เมเจอร์ต้องขยายโรงหนังไปให้ครอบคลุมในพื้นที่ต่างจังหวัดมากขึ้น ดังนั้นจึงมีความพยายามจากในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่จะผลิตและยกระดับภาพยนตร์ไทยให้สูงขึ้นโดยร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ต่างๆ ปัจจัยหลักจึงเป็นส่วนของการผลิตภาพยนตร์ไทยให้มากขึ้น เพื่อมีคอนเทนต์ฉายในโรงหนังอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามสำหรับธุรกิจการผลิตภาพยนตร์ไทยนั้น ค่ายภาพยนตร์รายใหญ่ของไทย มีหลายบริษัท เช่น จีดีเอช ห้าห้าเก้า พระนครฟิล์ม ไฟว์สตาร์โปรดักชั่น สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล และ เอ็ม เทอร์ตี้ไนน์
สำหรับช่อง 3 ยังไม่เคยผลิตภาพยนตร์ภายใต้ลิขสิทธิ์ของตัวเอง ที่ผ่านมา เคยมีภาพยนตร์เรื่อง “นาคี 2” ในปี 2561 ที่สร้างเพื่อต่อยอดจากความสำเร็จของละคร “นาคี” ทางช่อง 3 เป็นภาพยนตร์ไทยแนวแฟนตาซี-ระทึกขวัญในปี ผลิตโดย เซิร์ช เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ และแอค อาร์ต เจนเนอเรชั่น จัดจำหน่ายโดยเอ็ม พิคเจอร์ส โดยเป็นที่รับรู้ว่าเป็นภาพยนตร์ที่ได้รับการสนับสนุนด้านการลงทุนจากเงินส่วนตัวของ “ประวิทย์ มาลีนนท์”
สำหรับการลงทุนผลิตภาพยนตร์ต้องใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท ที่ต้องรวมทั้งค่าโปรดักชั่น และค่าการตลาดโปรโมท หากได้รายได้มาแล้วต้องแบ่งให้โรงหนังอีกประมาณ 50% ที่เหลือหักเป็นต้นทุนการผลิต ธุรกิจภาพยนตร์ในไทยจึงเป็นหนึ่งในตลาดคาดเดาไม่ได้ว่า ภาพยนตร์เรื่องไหนจะประสบความสำเร็จ เพราะบ่อยครั้งที่หนังที่คาดหวังสูง กลับไม่เป็นไปตามคาด ส่วนหนังที่ไม่ได้คาดหวัง อาจจะประสบความสำเร็จสูงก็ได้
ต้องรอดูว่า การขยายธุรกิจไปสู่ตลาดภาพยนตร์ของช่อง 3 ครั้งแรก ด้วยการเลือกจับมือกับเวิร์คพอยท์ จะเป็นอย่างไร หรือนี่คือลักษณะการร่วมทำธุรกิจแบบ “ทีวีพูล” รูปแบบใหม่ในวงการทีวี