ข้อมูลผลการดำเนินงานของบริษัท กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ จำกัด หรือกลุ่มช่อง 7 เป็นผู้รับใบอนุญาตช่องทีวีดิจิทัลหมวดความคมชัดสูง (HD) ของ สำนักงาน กสทช.ด้วยนั้น ข้อมูลที่แจ้งไว้ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ มีรายงานว่า ในปี 2564 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 5,016.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้น จากปี 2563 20.32 % กำไร 1,964.61 ล้านบาท กำไรเพิ่มขึ้นถึง 101.98 % โดยปี 2563 มีรายได้รวมอยู่ที่ 4,168.96 ล้านบาท และมีกำไรในปี 2563 อยู่ที่ 972.59 ล้านบาท
อัตรากำไรของช่อง 7 มีแนวโน้มลดลงเกือบทุกปีนับตั้งแต่ปี 2557 มีกำไร อยู่ที่ 5,510.87 ล้านบาท ปี 2558 กำไร 2,723.81 ล้านบาทปี 2559 กำไร 1,567.94 ล้านบาท ปี 2560 กำไร 1,516.85 ล้านบาทปี 2561 กำไร 1,633.28 ล้านบาท ปี 2562 กำไร 1,4000 ล้านบาทปี 2563 กำไร 972.59 ล้านบาท แต่ปี 2564 มีกำไรเพิ่มขึ้น
ส่วนทางด้านรายได้ช่อง 7 ลดลงไม่มากนับตั้งแต่ปี 2557 ที่มีรายได้ 10,428.40 ล้านบาท ปี 2558 รายได้ 7,189.91 ล้านบาท ปี 2559 รายได้ 5,825.70 ล้านบาท ปี 2560 รายได้ 5,723.91 ล้านบาทปี 2561 รายได้ 5,750.07 ล้านบาท ปี 2562 รายได้ 4,832.28 ล้านบาท ปี 2563 รายได้ 4,168.96 ล้านบาท
เมื่อดูรายละเอียดงบการเงินของปี 2564 ในส่วนของรายได้นั้นพบว่า รายได้หลักอยู่ที่ 3,618.74 ล้านบาท แต่มีรายได้ส่วนอื่นมาสมทบจึงรายงานรายได้รวมทั้งหมดอยู่ที่ 4,168.96 ล้านบาท โดยในปีนี้ยังสามารถลดค่าใช้จ่ายรวมได้กว่า 5% ด้วย มีส่วนทำให้กำไรของปี 64 นี้สูงขึ้นด้วย
ทั้งนี้ปี 2564 เป็นปีที่ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลเริ่มฟื้นตัวขึ้น หลังจากได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ และการระบาดของไวรัสโควิด-19 และยังต้องแข่งขันกับผู้ให้บริการคอนเทนต์ช่องทางออนไลน์ ที่เติบโตสูงด้วย ในช่วงโควิด-19 สถานีทีวีหลายช่องใช้กลยุทธ์วางผังด้วยรายการรีรัน ช่วยลดต้นทุน ซึ่งช่อง 7 มีคอนเทนต์เด่นเป็นละคร และจัดละครรีรันลงผังรายการในช่วงเวลาหลักอย่างต่อเนื่อง
กลุ่มช่อง 7ถือหุ้นใหญ่โดย กฤตย์ รัตนรักษ์และยังคงครองตำแหน่งตระกูลมหาเศรษฐีลำดับที่ 21 ของเมืองไทย (จากการจัดอันดับของนิตยสาร Forbes, 2565) โดยมีมูลค่าทรัพย์สินประมาณ 5.63 หมื่นล้านบาท