ผลงานกลุ่มช่อง 3 ปี 64 จากขาดทุนเป็นกำไร
ผลประกอบการรวม BEC World (กลุ่มช่อง 3) ทั้งปี 2564 ดีขึ้นจากการลดต้นทุนรวมได้ถึง 17.1% มีรายได้จากค่าโฆษณาเพิ่มขึ้น 1.6% แม้รายได้รวมทั้งปีลดลง 3.1% แต่พลิกฟื้นจากขาดทุน 214.3 ลบ.เป็นกำไร 761.6 ลบ.
บริษัท บีอีซี เวิลด์ (BEC) หรือกลุ่มช่อง 3 แจ้งผลประกอบการรวมทั้งปี 2564 ต่อตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 18 ก.พ.ที่ผ่านมาว่า มีรายได้รวมทั้งปี 5,680 ล้านบาท ลดลง 180.9 ล้านบาท หรือ 3.1% เมื่อเทียบปี 2563 ที่มีรายได้อยู่ที่ 5,860.9 ล้านบาท โดยรายได้หลักของ BEC ยังคงเป็นธุรกิจรายได้จากขายเวลาโฆษณา และรายได้จากใช้ลิขสิทธิ์ ที่มีสัดส่วน 85.11 % และ 14.9 % ตามลำดับ
รายได้จากขายเวลาโฆษณาอยู่ที่ 4,834 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.6% จากปี 2563 ที่มีรายได้ส่วนนี้ที่ 4.758 ล้านบาท โดย BEC ชี้แจงว่า รายได้โฆษณาที่เพิ่มขึ้น มาจากการปรับปรุงผังรายการให้เหมาะกับผู้ชมในแต่ละช่วงเวลา และปรับปรุงคอนเทนต์ให้น่าสนใจขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับภาพรวมของโฆษณาสื่อทีวีทั้งปี จากรายงานของนีลเส็น อยู่ที่ 63,662 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 492 ล้านบาท หรือ หรือ 0.8% เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่ 63,170 ล้านบาท
รายได้จากการให้ใช้ลิขสิทธิ์และบริการอื่น อยู่ที่ 846.1 ล้านบาท ลดลง 207.3 ล้านบาท หรือ 19.7% จาก ปี 2563 โดยในส่วนนี้รายได้จากการขายลิขสิทธิ์ละครไปยังต่างประเทศ อยู่ที่ 226.1 ล้านบาท ลดลง 182.5 ล้านบาท หรือลดลง 44.7% จากปีที่แล้ว ต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ 1,000 ล้านบาท เหตุกจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ภาครัฐควบคุมการจักิจกรรม ทำให้กองถ่ายต้องหยุดถ่ายทำ มีผลต่อละครที่ดีลขายกับต่างประเทศต้องเลื่อนออกไป
ดีลขายลิขสิทธิ์ละคร แบบ Simulcast ในรูปแบบ Date On Broadcasting กับ Netflix รวม 6 เรื่อง ซึ่งมีละครที่ขายลิขสิทธิ์และออนแอร์ในปี 64 นี้ จำนวน 4 เรื่อง ทั้งนี้ในไตรมําสที่ 4/2564 ได้ Simulcast ละคร ผ่านแพลตฟอรม์ Netflix จำนวน 2 เรื่อง ได้แก่ Help Me คุณผีช่วยด้วย (Help Me Oh! My Ghost) และ เกมล่าทรชน (Game of Outlaws) และ รูปแบบ Partial Simulcast ละครผ่าน Tencent Platform เรื่อง กะรัตรัก (Are We Alright?)ส่วนรายได้จากดิจิทัลแพลตฟอร์ม ที่มีทั้งจากแอปพลิเคชัน CH3 Plus ที่เป็น OTT และมีขายคอนเทนต์ และเอกซ์คลูซีฟคอนเทนต์ ใหกับ OTT Platform อื่นๆ ท่ีให้บริการในประเทศไทยเพื่อขยายฐานผู้ชมคอนเทนต์ของกลุ่มช่อง 3 นี้ เพิ่มขึ้น 170.3 ล้านบาท มาอยู่ที่ 599.9 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 39.6% จากปีที่แล้ว โดยรายได้ทั้งขายลิขสิทธิ์ละครและดิจิทัลแพลตฟอร์มรวมกันอยู่ที่ 826.0 ล้านบาท หรือลดลง 1.4% จากปี 2563 โดยคิดเป็น 14.5% ของรายได้รวม
ภาพรวมของบริษัทมีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 761.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 975.9 ล้านบาท หรือ 455.5% จาก ปี 2563 ที่ขาดทุน 214.3 ล้านบาท โดย BEC ชี้แจงว่ามาจากการบริหารต้นทุนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ทั้งนี้จากรายงานข้อมูลงบการเงินของ BEC ระบุว่าลดต้นทุนการขายได้ 17.1% โดยส่วนใหญ่ลดลงจากค่าใช้จ่ายในการผลิตรายการที่ลดลง รวมถึงค่าใช้จ่ายพนักงานที่ลดลงจากการลดขนาดองค์กร
ทั้งนี้ในปี 2565 บริษัทจะยังคงมีการดําเนินการตาม กลยุทธ์ใหม่ของกลุ่ม BEC ที่มุ่งเน้นไปที่ลูกค้าและการหารายได้จากธุรกิจใหม่ ที่มี “คอนเทนต์” เป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจ โดยมีแผนพัฒนาคอนเทนต์ให้สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ชมโทรทัศน์ที่หลากหลายรวมถึงสร้างรายได้จากดิจิทัลแพลตฟอร์มและการขายลิขสิทธิ์ไปต่างประเทศ