ปี 2561 เป็นปีที่เวิร์คพอยท์เผชิญหน้ากับการแข่งขันสูง ขาดคอนเทนต์ปังเข้าเสริมผัง เรตติ้งลด ทำให้รายได้จากค่าโฆษณาลดลง 510 ล้านบาท หรือลดลง 15% แม้จะมีกำไร แต่ก็ลดลงมาอยู่ที่ 345 ล้านบาท ลดลงถึง 62% เมื่อเทียบกับปี 2560 ที่ทำกำไรไว้ถึง 904 ล้านบาท
เวิร์คพอยท์ได้รายงานตลาดหลักทรัพย์ถึงผลประกอบการในปี 2561 ว่า มีรายได้รวมทั้งปีอยู่ที่ 3,594.28 ล้านบาท ลดลงจากปี 2560 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 3,852.50 ล้านบาท โดยลดลง 258.22 ล้านบาท หรือคิดเป็น 7%
ทั้งนี้รายได้ที่ลดลง มีสาเหตุหลัก มาจากรายได้ในธุรกิจทีวี ที่ประกอบไปด้วยรายได้จากค่าโฆษณา ค่าโปรโมท ทั้งช่องทางทีวีดิจิทัลและช่องทางออนไลน์ ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 2,968.24 ล้านบาท ลดลงถึง 510.11 ล้านบาท หรือ 15% จากรายได้ในส่วนนี้ของปี 2560 ที่อยู่ที่ 3,478.35 ล้านบาท โดยเวิร์คพอยท์ชี้แจงว่า ส่วนที่ลดลงมากสุดคือรายได้ของช่องเวิร์คพอยท์ ที่ปี 2561 มีการแข่งขันในวงการทีวีดิจิทัลสูง แต่ในปี 2562 ได้มีแผนปรับผังรายการใหม่ที่มีความหลากหลายมากขึ้น เชื่อว่าจะสร้างความนิยมของช่องได้มากขึ้น
สำหรับในปี 2561 เวิร์คพอยท์มีเรตติ้งลดลงมากจาก 1.001 ในอันดับ 3 ในปี 2560 มาอยู่ที่เรตติ้งเฉลี่ย 0.810 อยู่ในอันดับ 4 ตามหลังช่อง 7, ช่อง 3 และโมโน
ในปี 2560 เวิร์คพอยท์ประสบความสำเร็จสูงสุดจากรายการ The Mask Singer ที่ทำเรตติ้งชนะละครทุกช่องมาแล้ว แต่ในปี 2561 รายการที่ทำเรตติ้งสูงสุดของเวิร์คพอยท์คือ รายการประกวดร้องเพลง ตระกูลไมค์ “ไมค์ทองคำ” และรายการ I Can See Your Voice โดยที่ยังไม่มีรายการวาไรตี้ใหม่ๆ เข้ามาเป็นที่นิยมได้ ทำให้เรตติ้งเฉลี่ยช่องลดลงต่อเนื่อง
สำหรับในปี 2562 นี้ เวิร์คพอยท์ได้เริ่มจัดรายการซิทคอมลงผังเพิ่มเติม เช่น “โฮะ แฟมิลี่” และพยายามเสริมผังรายการด้วย หนังดังต่างประเทศ, รายการกลุ่มการต่อสู้ 10 Fight 10 ซุปตาร์ท้าชก และรายการใหม่ Earth Quake หรือเกมแผ่นดินไหว ที่ปัญญา นิรันดร์กุล จะเข้ามารับหน้าที่พิธีกรรายการเอง
เวิร์คพอยท์ยังได้หันเข้าหาธุรกิจทีวี ช็อปปิ้ง หรือ Studio Shop และสินค้าเสริมความงาม ที่เริ่มสร้างรายได้รวมในส่วนของรายได้จากการขายสินค้าและบริการอื่นๆ ถึง 169.85 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 118.10 ล้านบาท จากปี 2560 ที่มีรายได้ส่วนนี้เพียง 51.75 ล้านบาท