ย้อนรอยผลกระทบความนิยมรายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” จากคดี “สรยุทธ สุทัศนจินดา”

ช่อง 3 รายการข่าว

จากการที่วันที่ 21 ม.ค. 2563 ศาลฎีกาได้พิพากษาจำคุก “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” กก.ผจก.บจก.ไร่ส้ม และอดีตพิธีกรรายการเล่าข่าวชื่อดัง ในคดีทุจริตค่าโฆษณาส่วนเกิน อสมท 138 ล้านบาทเป็นเวลา 6 ปี 24 เดือนไปแล้วนั้น วันนี้มาย้อนรอยความนิยมของผู้ชมต่อรายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” ในยุคทีวีดิจิทัล ตั้งแต่ปี 2557

“สรยุทธ” นักเล่าข่าวชื่อดัง เติบโตจากสายข่าวการเมือง มาเป็นนักเล่าข่าว ที่มีความสามารถในการนำเสนอ คัดกรองเนื้อเรื่อง นำเสนอข่าวสารที่ดี จนเป็นที่นิยมในวงกว้างอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงปี 2546 เป็นต้นมา ในรายการ “ถึงลูกถึงคน” และ “คุยคุ้ยข่าว” ทางช่อง 9  และรายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” ทางช่อง 3

หนังสือ “5 ปีบนเส้นทางทีวีดิจิตอล บทเรียนและการเปลี่ยนแปลง” ของสำนักนโยบายและวิชาการกระจายเสียงและโทรทัศน์ กสทช. ได้มีการอ้างอิงถึงรายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” ซึ่งได้รับความนิยมลดลงหลังจาก “สรยุทธ” เริ่มมีปัญหาเรื่องคดีความ และมีผลกระทบต่อภาพรวมเรตติ้งเฉลี่ยของกลุ่มช่อง 3 ด้วย ดังนี้

ช่อง 3HD ได้รับผลกระทบของรายการข่าวเช้า จากกรณีคดีความของ สรยุทธ สุทัศนจินดา ในการผลิตรายการ “คุยคุ้ยข่าว” ในนามบริษัท ไร่ส้ม จำกัด กับช่อง 9 อสมท. ที่มีการส่งฟ้องศาล ในปลายปี 2557 และเริ่มส่งผลต่อเรตติ้งรายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” ที่เป็นรายการข่าวหลัก ของบริษัท บีอีซี เทโร เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) บริษัทในเครือของกลุ่มช่อง 3 โดยเป็นรายการที่สร้างรายได้ให้กับช่อง 3 มาอย่างยาวนาน จนเรตติ้งรายการลดลงอย่างต่อเนื่อง และมีผลกระทบกับผลประกอบการของช่องโดยรวมทั้งหมดด้วย

 

จากข้อมูลเรตติ้งความนิยมรายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” ทางช่อง 3 HD จะเห็นว่ามีเรตติ้งลดลงตั้งแต่ปลายปี 2557  เนื่องจากเรื่องคดีความของ “สรยุทธ” จากเรตติ้งเฉลี่ย 2.852 ในปี 2557 ลดลงมากในปี 2558 และ 2559 ที่มีเรตติ้งเฉลี่ยของรายการ 2.139 และ 1.545 ตามลำดับ โดย “สรยุทธ” ออกจากการเป็นผู้เล่าข่าวหลักของรายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” ตั้งแต่ 3 มีนาคม 2559

 

ทั้งนี้ กลุ่มผู้ชมที่เหนียวแน่นของรายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” เป็นฐานผู้ชมในกลุ่มพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล และเป็นกลุ่มที่เรตติ้งลดลงมากที่สุดเช่นกัน

สำหรับภาพรวมของช่อง 3 ปี 2556 ก่อนมีทีวีดิจิตอล เรตติ้งเฉลี่ยช่องอยู่ที่ 2.798  แต่เมื่อเกิดการแข่งขันจากคู่แข่งช่องใหม่ เรตติ้งช่องลดลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปี 2557 เทียบกับปี 2558 เรตติ้งเฉลี่ยช่อง 3HD ลดลงมากที่สุด จาก 2.445 มาอยู่ที่ 1.941 และในปี 2560 เรตติ้งเฉลี่ยอยู่ที่ 1.348 แต่ปี 2561 ลดลงไม่มาก เพราะมีละคร “บุพเพสันนิวาส” ที่สร้างปรากฏการณ์ของช่อง เป็นรายการในยุคทีวีดิจิตอลจนถึงปี 2561 ที่ได้เรตติ้งสูงสุด โดยได้เรตติ้งตอนจบที่ 18.633 

พื้นที่กรุงเทพฯและปริมาณฑลเป็นพื้นที่หลักของช่อง 3HD ที่มีฐานผู้ชมหนาแน่นมากที่สุดเมื่อเทียบกับทุกช่อง ส่วนในพื้นที่ต่างจังหวัด ภาคกลาง ที่รวมถึงภาคตะวันตก และตะวันออก เป็นอีกภาคที่ ช่อง 3HD มีฐานผู้ชมของช่องสูงพอสมควร แต่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้เป็น 2 ภาคที่ช่อง 3HD มีฐานผู้ชมน้อยที่สุด กลุ่มผู้หญิงยังคงเป็นสัดส่วนผู้ชมสูงกว่ากลุ่มผู้ชาย ด้วยลักษณะรายการบันเทิงที่ดึงความสนใจกลุ่มผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และกลุ่มช่วงอายุผู้ชม เป็นคนวัย 35 ปีขึ้นไปมากที่สุด

ปี 2562 เรตติ้งเฉลี่ยลด มาอยู่ที่ 0.930

สำหรับภาพรวมปี 2562 รายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” มีการลดเวลาออกอากาศ และถูกแบ่งออกเป็น 2 ช่วง เป็น “เรื่องเล่าหน้าหนึ่ง” ออกอากาศเวลา 05.30-06.00น. และ  “เรื่องเล่าเช้านี้” เวลา  06.00-08.00 น. เพื่อฟื้นเรตติ้ง แบ่งกลุ่มผู้ชมช่วงเช้ามืด และช่วงเช้า ผลปรากฏว่าเรตติ้งเฉลี่ยทั้งปี 2562 รายการ “เรื่องเล่าหน้าหนึ่ง” อยู่ที่  0.533  และเรตติ้งเฉลี่ยรายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” อยู่ที่ 0.930 ไม่ได้ลดลงมากจากปี 2561

บทสรุปของการทำงานสื่อ การทำให้ได้รับความนิยมไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องยอมรับในความสามารถของ “สรยุทธ” ที่โดดเด่นมากที่สุดคนหนึ่ง แต่การจะยืนเป็นผู้เล่าข่าว ก็ต้องมีกรอบจริยธรรมที่มากกว่าคนทั่วไป เมื่อวันที่ทำผิด จึงเห็นว่ามีกระแสลงโทษจากผลงานความนิยมรายการที่ลดลง

การเป็นคนในแวดวงสื่อสารมวลชน ต้องพร้อมจะถูกตรวจสอบเหมือนนักการเมืองเช่นกัน การทำงานให้ยึดความถูกต้อง โปร่งใส ให้เป็นคนสื่อตามแบบในสำนวนไทย “ ใจซื่อ มือสะอาด”   เพราะหากว่าคุณมีมลทิน แล้วถูกตรวจสอบได้ ชีวิตคุณก็อาจจะมีจุดพลิกผัน ขอให้กรณีนี้เป็นอุทาหรณ์สอนใจคนในแวดวงสื่อสารมวลชน เป็นแบบอย่างที่ดีกับสังคมสืบไป

Tagged